เที่ยวแบบแปลก:(3)ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ เยอรมนี – โปแลนด์ – สโลวัค – ออสเตรีย

เราไปเที่ยวแบบแปลกกันมาแล้ว 2 ทริป โดยทริปแรกเราไปดู “ศึกแดงเดือด” ที่อังกฤษ ทริปที่สองไปเที่ยวเมืองน้ำแข็งที่ไอซ์แลนด์ ส้าหรับทริปที่สามนี้เราจะไปเยี่ยมค่ายกักกัน

เอาช์วิทซ์ และเหมืองเกลือใต้ดินเวียลิสก้าในโปแลนด์ โดยก่อนหน้านั้นเราแวะเที่ยวแฟรงก์เฟิร์ต ไลฟ์ซิก พอร์ตสดัม เบอร์ลิน และเดรสเดนของเยอรมนี เข้าโปแลนด์เราไปเมืองวรอตสวัฟและ เมืองคราคูฟ ออกจากโปแลนด์แล้วเราจะแวะเที่ยวบราติสลาวาของสโลวัก และมาเยือนเวียนนา ของออสเตรียก่อนขึ้นเครื่องกลับบ้าน

เก้าวันแปดคืน ทริปนี้คณะเรา 4 คน คุณขาว คุณแป๊ว คุณไอซ์ และคุณเชอรี่ ไปจอยทัวร์ของบริษัทหนึ่ง วันเดินทางเราจึงทราบว่าเมื่อรวมทัวร์ลีดเดอร์แล้วทั้งคณะมีจำนวน ประมาณ 15 คน จึงคล่องตัวดี ทริปนี้เราไปกัน 9 วัน 8 คืน (นับแบบทัวร์) โดย 2 คืนค้าง ในเครื่องขาไปและขากลับ อีก 6 คืนพักโรงแรม โดยในเยอรมนีเราพักที่ไลฟ์ซิก เบอร์ลิน และ เดรสเดน เมืองละ 1 คืน ในโปแลนด์เราพักที่เมืองคราคูฟ 2 คืน แล้วพักที่บราติสลาวา อีก 1 คืน

เมืองแรกแฟรงก์เฟิร์ต คณะเราเดินทางโดยสายการบินอิมิเรทส์ ออกจากสุวรรณภูมิ 20.35 น. แวะเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ ออกจากดูไบ 03.20 น. เวลาท้องถิ่น มาถึงสนามบิน แฟรงก์เฟิร์ต 07.35 น. ของเวลาท้องถิ่น ซึ่งจะช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง

แฟรงก์เฟิร์ต เป็นเมืองใหญ่อันดับ 5 ของเยอรมนี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้าไมน์ เป็นที่ตั้ง ของตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ตและธนาคารแห่งยุโรปกล่าวกันว่าแฟรงก์เฟิร์ตเป็นเมืองที่ร่ำรวย ที่สุดในสหภาพยุโรป

ทัวร์ลีดเดอร์นำรถบัส 40 กว่าที่นั่งมารับคณะเรา 15 คน จึงนั่งกันอย่าง สะดวกสบาย นำคณะผ่านชมสถานีรถไฟแฟรงก์เฟิร์ต มาส่งลงที่จตุรัสโรเมอร์ เดินเล่นผ่าน ถนนซีลอันเป็นถนนช้อปปิ้งที่มีห้างสรรพสินค้าเป็นอาคารรูปทรงสวยแปลก คณะเรา 4 คนเดินไป ถ่ายภาพกับริมแม่น้ำไมน์ และเข้าชมวิหารประจำเมือง เซนต์บาร์โธโลมิวอันสวยงาม

มือกลางวันเราได้ทานอาหารประจำชาติเยอรมนี คือ ขาหมูเยอรมันขาใหญ่ เสริฟมาพร้อมมันบด ของภัตตาคารที่ตังมานานนับร้อยปีจนเป็นประวัติศาสตร์ อร่อยมากครับ

นอนที่ไลฟ์ซิก เป็นเมืองที่อยู่ในเขตเยอรมันตะวันออก หลังรวมเยอรมันจึงเปิดให้ เป็นเมืองท่องเที่ยว ไลฟ์ซิกเป็นเมืองแห่งการค้ามาตังแต่สมัยโบราณ เป็นแหล่งรวมนักปราชญ์ ปัญญาชนและศิลปวิทยาการต่าง ๆ คณะเราผ่านชมผ่านเมืองเก่าด้วย

มื้อค่ำเราทานอาหารจีน แล้วไปเช็คอินเข้าพักที่โรงแรม NH LEIPZIG MESSE ที่สะดวกสบายตามมาตรฐานเยอรมัน

พอตสดัม หลังอาหารเช้าที่โรงแรม คณะเราเดินทางไปยังเมืองพอตสดัมที่เป็น เมืองหลวงของรัฐบรันเดนบูร์ก อยู่ห่างจากเบอร์ลิน 26 กิโลเมตร พอตสดัมเคยเป็นที่ประทับ ของกษัตริย์ปรัสเซียมาตังแต่ปี ค.ศ. 1918 จึงมีพระราชวังจำนวนมาก เช่น พระราชวังใหม่ พระราชวังสวนส้ม พระราชวังชองซูชิ หรือพระราชวังไกลกังวล

มื้อกลางวันทานอาหารจีนก่อนเข้าชมพระราชวังชองซูซิ

พระราชวังชองซูชิ พระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 2 โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1745 – 1748 เป็นพระราชวังชั้นเดียวที่สร้างในอุทยานสวนชองซูชิ พระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 2 โปรดเสด็จ มาพักแทบทุกฤดูร้อน ในปี ค.ศ. 1990 องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนพระราชวังของซูชิและ อุทยานเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม จากนั้นเดินทางเข้ามามหานครเบอร์ลิน

เบอร์ลิน เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของเยอรมนี มีประชากรประมาณ 3.5 ล้านคน เบอร์ลินเป็นศูนย์กลางของประเทศในแทบทุกด้าน มีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์มากกว่า 150 แห่ง แห่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดคือ ประตูชัยบรันเดนบูร์ก กำแพงเบอร์ลิน มหาวิหาร เบอร์ลิน อาคารรัฐสภาไรซ์ทาค เกาะพิพิธภัณฑ์มรดกโลก เช็คพ้อยท์ชาลี ฯลฯ

คณะเราเข้ามาถึงนครเบอร์ลินเย็นมากแล้ว แต่ก็ยังได้ผ่านชมอาคารอาคารรัฐสภา ไรซ์ทาค แล้วแวะไปถ่ายภาพที่ประตูชัยบรันเดนบูร์ก ยามประดับไฟสวยงามมากครับ

อาหารค่ำเราทานอาหารเยอรมันที่ภัตตาคารโรงเบียร์ และไปเช็คอินเข้าที่พักที่ โรงแรม CITY HOTEL BERLIN EAST

กำแพงเบอร์ลินและเช็คพ้อยท์ชาลี เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรปสินสุด ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ายึดครองเยอรมนี และแบ่งออกเป็นเยอรมนีตะวันออกที่ปกครอง โดยกองทัพรัสเซีย กับเยอรมนีตะวันตกที่ปกครองโดยกองทัพอเมริกันและพันธมิตรอื่น และแบ่งเบอร์ลินออกเป็นตะวันออกกับตะวันตกเช่นกัน วันที่ 13 สิงหาคม 2504 พันธมิตร ได้ตกลงก่อสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้น เพื่อปิดกั้นพรมแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกกับ เยอรมันตะวันออก โดยมีเช็คพ้อยท์ ชาลีเป็นจุดติดต่อระหว่างฝ่ายตะวันตกและตะวันออก เมื่อมีการรวมเยอรมันเข้าด้วยกัน กำแพงเบอร์ลินได้ถูกทำลายลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2534 โดยบางส่วนยังคงเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ในสมัยที่ยังมีการแบ่งแยก

หลังอาหารเช้าที่โรงแรม คณะเราไปชมเช็คพ้อยท์ชาลีที่อยู่ในเมืองกันก่อน และ เดินเล่นบริเวณนั้น แล้วมาชมกำแพงเบอร์ลินส่วนที่ยังเก็บรักษาไว้ไม่ไกลจาก Mercedes-Benz Arena แล้วเดินมาถ่ายภาพริมแม่น้ำกัน

อาคารรัฐสภาไรซ์ทาค และมหาวิหารเบอร์ลิน จากนั้นเราไปชมอาคารรัฐสภา ไรซ์ทาคกันภายนอก แล้วเดินไปชมมหาวิหารเบอร์ลินอันสวยงาม การเข้าไปชมภายในวิหารต้อง เสียค่าเข้าชม ซึ่งนอกจากชมวิหารแล้วยังรวมถึงพิพิธภัณฑ์ของวิหารด้วย ขณะที่คณะเราเข้าชมนั้น มีการซ้อมแสดงดนตรีวงใหญ่ในวิหารด้วย

มื้อกลางวัน เราไปทานอาหารไทยกันที่ร้านอาหารไทยในเบอร์ลิน อร่อยครับ

เดรสเดน เป็นเมืองหลวงของรัฐซัคเซิน ประเทศเยอรมนีเคยเป็นเมืองที่ประทับ ของกษัตริย์มาก่อน เป็นเมืองที่รุ่งเรืองด้วยศิลปวัฒนธรรมธรรมมานาน จนได้รับการกล่าวขานว่า เป็นเมืองที่สวยที่สุดของเยอรมนี แม้ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการทิ้งระเบิดของฝ่าย สัมพันธมิตรในสมัยสงครามโลกครังที่ 2 แต่เมื่อสงครามสงบได้มีการบูรณะอาคารโบราณสถานที่ เสียหายให้กลับมาสวยงามเช่นเดิม จนองค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม ในปี ค.ศ. 2004

คณะเราที่เดินทางจากเบอร์ลินมาถึงเดรสเดนในช่วงบ่ายเกือบเย็น แต่ก็มีเวลาเดิน ชมเมือง โดยคณะเราพากันไปที่จตุรัสเมืองเก่าที่มีรูปปั้นของมาร์ตินลูเธอร์อยู่กลางถนน เข้าชมโปสถ์พระแม่มารีแห่งเดรสเดน ชมพระราชวังซวิงเกอร์ อาคารโรงอุปรากร อาคารรัฐสภา ริมแม่น้ำเอลเบ และจุดที่นักท่องเที่ยวที่มายังเดรสเดนต้องไม่พลาด คือ ภาพเซรามิคบนผนัง กำแพงที่ยาวที่สุดในโลก 102 เมตร เป็นภาพที่มีชื่อว่า Procession of Princes คณะเรา 4 คน พากันถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

เราทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารอาหารจีนในเมือง แล้วเช็คอินเข้าพักที่โรงแรม Wyndham Garden Dresden

วรอตสวัฟ เมืองแห่งสีสัน Wroclaw เป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 4 ของโปแลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของศิลปะและวัฒนธรรมมาตังแต่สมัยโบราณ อยู่ห่างจากกรุงเบอร์ลิน 350 กิโลเมตร ห่างจากกรุงปราก 280 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเวียนนา 390 กิโลเมตร และ ห่างจากกรุงวอร์ซอ 340 กิโลเมตร อาคารบ้านเรือนในวรอตสวัฟเต็มไปด้วยสีสัน ได้รับการ จัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในแปดเมืองที่มีสีสันมากที่สุดในโลก (8 colorful cities in the world)

หลังอาหารเช้าที่โรงแรมในเดรสเดน เราเดินทางมายังเมืองวรอตสวัฟ ชมบริเวณ เมืองเก่าที่มีอาคารศาลาว่าการเมืองเดิมที่มีเอกลักษณ์ บริเวณจตุรัสของเมืองมีอาคารที่เต็มไปด้วย สีสันรายล้อมอยู่ กลางลานมีน้าพุวรอตสวัฟที่ตกแต่งไว้อยู่อย่างสวยงาม เราไปยังเกาะวิหาร แห่งวรอตสวัฟที่มีสะพานเหล็กสีฟ้าอมเขียวสวยเชื่อมไปยังวิหารเซนต์จอห์นเดอะแบบทิสต์ บริเวณสะพานนี้เป็นที่นิยมของคู่รักทังหลายที่จะนำกุญแจมาคล้องความรักไว้กับสะพานไม่ได้หล่น หายไป ผ่านชมมหาวิทยาลัยวรอตสวัฟที่มีชื่อเสียง ศิษย์เก่าได้รับรางวัลโนเบลมากมาย

พักโนโวเทลคราคูฟ 2 คืน เราออกจากวรอตสวัฟในตอนบ่ายมาถึงคราคูฟ เกือบค่ำ จึงไปทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารอาหารจีนแล้วเช็คอินเข้าพักโรงแรม Novotel Krakow Centrum เราจะค้างที่นี้ 2 คืน

ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ สมัยสงครามโลกครังที่ 2 กองทัพนาซีได้บุกเข้ายึดครอง โปแลนด์ ใน ค.ศ. 1939 นาซีได้เปลี่ยนชื่อเมืองออชฟีแยญชิมเป็นเมืองเอาช์วิทซ์ และได้สร้าง ค่ายกักกันเชลยสงครามที่ใหญ่ที่สุดขึ้น หลังสงครามในปี ค.ศ. 1947 โปแลนด์ได้ปรับปรุงค่ายนี้ให้ เป็นพิพิธภัณฑ์ค่ายเอาช์วิทซ์ขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิต ในปี ค.ศ. 1979 องค์การยูเนสโก้ ได้ขึ้นทะเบียนค่ายเอาช์วิทซ์นี้ให้เป็นมรดกโลก

คณะเราเดินทางมาจากคราคูฟ รอเวลาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ซึ่งบริษัททัวร์ได้ส่งรายชื่อ มาไว้ล่วงหน้า ในพิพิธภัณฑ์มีภาพถ่ายเหตุการณ์ในค่ายกักกันขณะที่เปิดทำการ ชมห้องที่เก็บข้าว ของเครื่องใช้ของเชลย เช่นกระเป๋าเดินทาง รองเท้า แปรงสีฟัน กระป๋องน้ำ จานช้อน หวี และ เส้นผมที่ถูกตัดมาจากเชลย รวมถึงห้องที่เก็บกระป๋องแก๊สไซยาไนด์ที่ใช้รมเชลยจำนวนมาก อาคารค่าย 20 อาคาร และห้องอาบน้ำที่ใช้เป็นที่รมแก๊สเหล่าเชลย

เหมืองเกลือเวียลิชก้า มื้อกลางวันเราทานอาหารท้องถิ่นของเอาช์วิทซ์ แล้วเดินทางไปเมืองเวียลิชก้า เพื่อชมเหมืองเกลือใต้ดินที่เก่าแก่ที่สุดของโปแลนด์ที่มีประวัติ การทำเหมืองมามากว่า 1,000 ปี เราลงลิฟต์ไปหลายต่อลงไปถึงพื้นเหมืองด้านล่างที่ลึก ถึง 327 เมตร มีความยาวรวมกันมากกว่า 300 กิโลเมตร พบห้องต่าง ๆ ที่แกะสลักเป็นโบสถ์ ขนาดย่อม ห้องโถงขนาดใหญ่ และห้องต่าง ๆ และรูปปั้นที่แกะสลักจากหินเกลือมากมาย ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนเหมืองที่เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1988

เรากลับมาทานมือค่ำกันที่ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง และกลับเข้าที่พักโรงแรม โนโวเทลคราคูฟเซนเทรม เป็นคืนที่สอง

ดราคูฟเมืองเก่าแก่ที่สุดของโปแลนด์ ดราคูฟสร้างขึ้นมาตังแต่ศตวรรษที่ 7 จึงเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโปแลนด์ ปัจจุบันเป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองลงมาจากกรุงวอซอร์ ดราคูฟเคยเป็นเมืองหลวงของโปแลนด์อยู่กว่า 500 ปี (ค.ศ. 1038 – 1596) เป็นเมือง ศูนย์กลางการศึกษาศิลปะและวัฒนธรรม ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1978

หลังอาหารเช้า เราออกไปชมเมืองคราคูฟกัน โดยเริ่มต้นที่จตุรัสใหญ่กลางเมือง เมนมาร์เกทสแควร์ เช้านีมีตลาดนัดที่จัตุรัสจึงมีดอกไม้ผลไม้รวมทังผลิตผลท้องถิ่นลานตา ข้างจัตุรัสเป็นโคลธฮอลล์ที่เรียกได้ว่าเป็นตลาดหรือห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะสร้างมาตังแต่ศตวรรษที่ 12 ปัจจุบันนักท่องเที่ยวหาซือของที่ระลึกต่าง ๆ ได้ที่นี่ อีกด้าน หนึ่งของจตุรัสเป็นโบสถ์หรือวิหารประจ้าเมืองคือเซนต์แมรี่บาซิลิกา สร้างสมัยศตวรรษที่ 14 ไปชมย่านประวัติศาสตร์ชุมชนคนยิวเก่า Kazimierz ที่พลาดไม่ได้คือ ปราสาทวาเวลที่ผสมผสาน สถาปัตยกรรมและศิลปะของยุคกลาง โกซิค เรเนอซองส์ และบาโรค รวมทังอิตาเลียนสไตล์ด้วย สีสันงดงามมาก ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์

มื้อกลางวันเราทานอาหารพื้นเมืองในดราคูฟ ก่อนออกเดินทางไปบราติสลาวา

บราติสลาวาเมืองหลวงของสโลวัก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำดานูปบริเวณชายแดนไม่ไกล จากออสเตรียและฮังการี คณะเราไปชมปราสาทบราติสลาวา ถ่ายภาพร่วมกับรูปปั้นทองเหลืองรูป คนงานที่โผล่ออกมาจากท่อระบายน้ำ ชมโบสถ์เซนต์อลิซาเบธ หรือโบสถ์สีน้ำเงิน ผ่านจุดชมวิว รูปยานยูเอฟโอที่อยู่บนเสาสะพาน SNP ชมมหาวิหารเซนต์มาร์ติน ศาลาว่าการเมืองเก่า

มือค่ำทานอาหารพื้นเมืองในบราติสลาวา แล้วเข้าพักที่ฮอลิเดย์อินน์ บราติสลาลา

เวียนนาที่น่ารัก หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เรามุ่งตรงเข้ามายังกรุงเวียนนา เมืองหลวง ของประเทศออสเตรีย ประชากรประมาณ 2 ล้านคน เคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าอยู่ ที่สุดในโลก (ค.ศ. 2005) มีถนนวงแหวนริงโรดเป็นถนนสายหลัก

คณะเราได้เข้าชมพระราชวังเชินบรุนน์ พระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับสบวร์ค พื้นที่รวมสวนไม้ดอกกว้างขวางสวยงามมาก มีห้องจำนวนมากกว่า 1,000 ห้อง แต่เปิดให้ นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียงบางส่วน จากนั้นก็เข้าเมืองมาตามถนนริงโรด ผ่านชมพระราชวังฮับสบวร์ค ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิราชวงศ์ราชวงศ์ฮับสบวร์คทุกพระองค์ ปัจจุบันใช้เป็น ทำเนียบประธานาธิบดีของออสเตรีย ผ่านชมอาคารรัฐสภา และโอเปร่าเฮ้าส์ออฟเวียนนา

ทัวร์พาพวกเรามาส่งที่ถนนกราเบนและโคห์ลมาร์ท ซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งกลางเมือง หลังอาหารกลางวันที่ภัตตาคารอาหารจีนบริเวณนั้น คณะเรา 4 คน เข้าชมมหาวิหารเซนต์สตีเฟน ที่เป็นวิหารประจำกรุงเวียนนา และเป็นแลนด์มาร์คของเวียนนาด้วย ออกจากมหาวิหารเราเดิน วินโดว์ช้อปปิ้งกันทังถนนกราเบนและโคห์ลมาร์ท ซึ่งมีสินค้าแบรนด์เนมมาจากทั่วโลก

เวียนนาเป็นเมืองที่ผู้เขียนและครอบครัวชอบมาก ถ้าไปครั้งใดที่ได้พักค้าง ในเวียนนา มือเย็นเราจะหาโอกาสไปทานอาหารพืนถิ่น ที่หมู่บ้านกรินซึ่งที่อยู่ชานเมืองเวียนนา แต่ทริปนี้แม้ไม่ได้พักค้าง คณะเรา 4 คน ยังมีเวลาไปทำเรื่องที่ชอบอีกอย่างหนึ่ง คือ ไปทาน ช็อกโกแล็ต ชา กาแฟร้อน ๆ กับเค้กช็อกโกแล็ตที่ได้รับการยอมรับว่าอร่อยที่สุด ที่ร้าน Sacher ด้านข้างโอเปร่าเฮ้าส์ออฟเวียนนา ครั้งนีก็ไม่ผิดหวังขนมหวานและเครื่องดื่มร้อน ๆ ยังอร่อย เช่นเดิม บริกรของร้านก็อารมณ์ดี ช่วยถ่ายภาพให้คณะเรา 4 คน แล้ว ยังถ่ายภาพเซลฟี่ตัวเองมา ให้คณะเรามาเป็นที่ระลึกด้วย น่ารักดีไหมครับ

ไปสนามบินเวทซาท : ขึ้นเครื่องกลับบ้าน ประมาณ 18.00 น.เศษ คณะเราออก จากถนนคาร์ทเนอร์ ตรงไปยังสนามบินเวทซาทของเวียนนา เผื่อเวลาให้ผู้ซื้อของปลอดภาษีไป ทำรีฟันด์ และเผื่อเวลาให้ผู้ที่ต้องการช้อปปิ้งเพิ่มเติมจากร้านค้าในสนามบิน

22.00 น. เราบินกลับบ้านโดย EK.126 แวะเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบแล้วบิน EK.372 กลับกรุงเทพ ถึงสุวรรณภูมิ 18.40 น.

บันทึกบรรยากาศท่องเที่ยวก่อนวิกฤตการณ์โควิค ทริปนี้เราเดินทางกัน เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2559 วิกฤตการณ์โควิค 19 เกิดเมื่อต้นปี พ.ศ. 2563 บันทึก การเดินทางฉบับนี้จึงเป็นบรรยากาศการท่องเที่ยวก่อนวิกฤตการณ์ที่เที่ยวกันแบบสบาย ๆ ต่อไปนี้โอกาสการท่องเที่ยวเปิดอีกเมื่อใด บรรยากาศการท่องเที่ยวคงเปลี่ยนไปพอสมควร

ขอให้ผู้อ่านทุกท่านได้เดินทางไปทุกสถานที่ที่อยากไป ขอให้ปลอดจากโรคภัย ไข้เจ็บ และอุบัติเหตุทุกประการครับ