เที่ยวแบบแปลก : (2) เมืองน้ําแข็งไอซ์แลนด์
เที่ยวแบบแปลกทริปที่สองมาแล้วครับ ทริปนี้เราจะไปเที่ยวเมืองน้ำแข็งกัน แปลก ไหมละครับ เมืองน้ำแข็งที่ว่านี้ก็คือประเทศไอซ์แลนด์ (ICELAND) โดยคณะของเราจะท่องเที่ยว และพักค้างในไอซ์แลนด์ 5 คืน และขากลับจะแวะค้างเพื่อเข้าไปเที่ยวกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์อีก 1 คืน
ไอซ์แลนด์ มีชื่อเรียกเป็นทางการว่าสาธารณรัฐไอซ์แลนด์ เป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มนอร์ดิก ตัวประเทศเป็นเกาะอยู่ในทะเลเหนือด้านทิศตะวันตกของกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย อันได้แก่ เดนมาร์ค นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์ ประเทศไอซ์แลนด์มีพลเมืองเพียง 350,000 คนเศษ เมืองหลวงชื่อเรคยาวิก ใช้เงินสกุลเงินโครนาไอซ์แลนด์ โดย 100 โครนา ไอซ์แลนด์มีค่าประมาณ 25 บาทไทย ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มเชงเกนด้วย
กรุงเทพ – เฮลซิงกิ - เรคยาวิก (เคฟลาวิก) คณะของเราเดินทางไปไอซ์แลนด์ โดยสารสายการบินฟินแอร์ ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ 23.00 น. บินตรงไปยังเฮลซิงกิ ใช้เวลาบินประมาณ 10 ชั่วโมงเศษ เมื่อถึงสนามบินเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศ แรกในกลุ่มเชงเกนที่เราจะเดินทางเข้าไป คณะของเราจึงการตรวจลงตราเข้าเมืองที่สนามบิน เฮลซิงกินี้ก่อน เราใช้เวลาที่สนามบินนี้ประมาณ 2 ชั่วโมงก็เปลี่ยนเครื่องบินเดินทางต่อไป ใช้เวลา บินประมาณ 3 ชั่วโมง เราก็ถึงสนามบินเคฟลาวิก ของกรุงเรคยาวิกอันเป็นจุดหมายของคณะเรา บริเวณด้านหน้าสนามบินเคฟลาวิกมีรูปปั้นหรือประติมากรรมที่แปลกสวยงามแสดงอยู่ด้วย
สี่เทพตะลุยไอซ์แลนด์ คณะเที่ยวแบบแปลกทริปนี้เป็นชุดเล็กแค่ 4 คน ประกอบด้วยผู้เขียน พี่แป๊ว พี่ปาน และลุงนิด โดยมี “ยุธ” รุ่นน้องผู้เขียน (OSK 102 และ มธ. สิงห์แดง) เป็นผู้นำคณะไป เมื่อคณะเราเดินทางถึงสนามบินเคฟลาวิกในตอนเช้าของเวลาท้องถิ่น “มด” รุ่นน้อง มธ. (สิงห์แดง) ซึ่งเป็นผู้จัดโปรแกรมทัวร์ให้คณะเราและบินมาก่อนล่วงหน้า ได้นำรถแวนตู้ 8 ที่นั่งมารับ คณะเรารวม 6 คน จึงมุ่งหน้าเข้ากรุงเรคยาวิกเพื่อชมเมืองและ เที่ยวไอซ์แลนด์ตามโปรแกรมที่มดจัดเตรียมไว้ให้ ในการนี้ยุธได้ตั้งไลน์เพื่อความสะดวก ในการติดต่อกัน โดยตั้งชื่อไลน์ว่า “สี่เทพตะลุยไอซ์แลนด์”
SOLFAR (SUN VOYAGER) สิ่งแรกที่นักเที่ยวไอซ์แลนด์ควรไปชมเมื่อมาถึงเรค ยาวิก คือ ประติมากรรมสัญลักษณ์เรือไวกิ้ง ซึ่งประติมากรผู้ปั้น JON GUNNA ARNASON ให้ ความหมายว่าเป็น “เรือแห่งความฝัน” ที่เป็นบทสรรเสริญพระอาทิตย์ด้วย ประติมากรรมชั้นนี้ ตั้งอยู่บริเวณอ่าวหน้าเมืองเรคยาวิกที่มี่ทิวเขาเป็นฉากอยู่ด้านหลังไกล ๆ วันที่คณะเราไปถึง (ปลายเดือนมกราคม 2563) มีหิมะโปรยปรายลงมา จึงท้าให้ประติมากรรมชิ้นนี้ดูโดดเด่น สวยงามมากครับ
โบสถ์ฮอลล์กริมสเคิร์กยา (HALLGRIMSKIRKJA) เป็นโบสถ์คริสต์ที่สูงที่สุดใน ไอซ์แลนด์ โดยสูงถึง 74.5 เมตร ตัวโบสถ์ตั้งอยู่บนเนินสูง จึงสามารถมองเห็นได้จากบริเวณอื่น ของเมือง เช่นแถวถนนชอปปิ้ง สถาปัตยกรรมของโบสถ์นั้น ผู้เขียนเชื่อว่าสถาปนิกน่าจะได้แรง บันดาลใจจากเสาหินบะซอลต์หกเหลี่ยมที่เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่แปลกและสวยงาม แถวหาดทรายดำ ด้านหน้าโบสถ์มีอนุสาวรีย์เลฟร์อีริคสัน ชาวไวกิ้งผู้ไปบุกเบิกยังดินแดนอเมริกา ตอนเหนือเป็นคนแรก
อาคารจุดชมวิว PERLAN เป็นอาคารที่สร้างขึ้นบนเนินสูงเพื่อเป็นจุดชมวิวของ เรคยาวิก สามารถชมวิวรอบเรคยาวิกได้อย่างพาโนรามาเพราะไม่มีอาคารตึกสูงมาบัง ในอาคาร มีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ไวกิ้ง นิทรรศการ ร้านอาหารและของที่ระลึก
ย่านชอปปิ้งสตรีท ทางลาดเนินจากโบสถ์ลงไปถึงอ่าวริมน้ำ จะเป็นย่านชอบปิ้ง สตรีท มีร้านค้าต่าง ๆ อาคารตลาดนัด ร้านอาหาร ซึ่งมีร้านอาหารไทยบริเวณนี้ด้วย ของอร่อย ราคาถูกบริเวณนี้ จะเป็นฮอทดอก ราคา 100 โครนา (25 บาท) มีลูกค้าเข้าคิวยาวรอซื้อ
คืนแรกที่ SELFOSS หน้าหนาวไอซ์แลนด์ กลางวันสั้นกลางคืนยาว ตอนเช้าต้อง 9.00 น.แล้วจึงจะมีแสงสว่าง แต่ตอนเย็นยังไม่ทันจะ 17.00 น. ก็มืดแล้ว คณะของเราจึงรีบออก เรคยาวิกไปตามถนน RING ROAD ซึ่งเป็นเส้นรอบเกาะ มุ่งหน้าไปยังเมือง SELFOSS ซึ่งต้องใช้ เวลาขับรถไป 2 – 3 ชั่วโมง เข้าพักในโรงแรมที่จองไว้ล่วงหน้า อาหารค่ำฝ่าหิมะออกไปทานกันที่ ร้านใกล้กับที่พัก อุณหภูมิที่หน้าร้านอาหารคือ -4oc หลังอาหารกลับเข้าห้องพักก็หลับผลอย กัน โดยเร็ว เพราะเราเดินทางมาจากกรุงเทพมามากกว่า 20 ชั่วโมง
ออกล่าแสงเหนือ ตอนดึกประมาณสัก 5 ทุ่มเศษ มดกับยุธ ซึ่งคอยเปิดดูแอปแสง เหนือโทรมาตามห้องพักพวกเราบอกว่า ตามแผนที่แสงออโรร่าแสดงว่าความเข้มของคลื่นแสง มีมากเพียงพอที่จะสามารถมองเห็นได้ ประกอบกับท้องฟ้าเริ่มเปิดไม่มีเมฆ จึงชวนคณะออกไปล่า แสงเหนือกัน เพราะบริเวณในเมืองจะมีแสงไฟสว่าง ท้าให้มองและถ่ายภาพแสงเหนือได้ไม่ชัดเข้ม จึงต้องขับรถออกไปหาที่มืด ๆ หรือที่มีแสงไฟน้อย เพื่อหาจุดชมแสงออโรร่าได้ชัดเจน คณะเรา ที่เป็น สว. (ผู้สูงวัย) ขอสละสิทธิ์ คงมีพี่ปานที่ออกไปกับมดและยุธ ออกไปล่าแสงเหนือกัน และกลับมา เล่าให้ฟังว่าต้องไปจอดรถบริเวณทางที่มืด ๆ อากาศหนาวมาก ตอนถ่ายภาพคนร่วมกันแสงเหนือ คนจะต้องยืนนิ่ง ๆ นานเป็นหลายนาที เพื่อให้กล้องสามารถรวมแสงให้มากพอ หากเคลื่อนไหวภาพ คนจะเบลอเห็นไม่ชัด และต้องใช้ขาตั้งกล้องด้วย ภาพที่ได้ออกมาคืนนี้ใช้ได้ สวยงามดีครับ
ทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ KERIJ หลังอาหารเช้าที่โรงแรม เราออกเดินทางไป ชมทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ KERIJ เป็นแห่งแรก จากภาพถ่ายในโบรชัวร์ของอุทยานแห่งชาติ เป็นภาพที่ถ่ายในฤดูร้อนมีน้ำเต็มทะเลสาบที่เกิดขึ้นบนปากปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิทมานานแล้ว รอบปากปล่องมีต้นไม้ขึ้นเขียวสวยงาม แต่วันที่เราไปเยี่ยมชมเป็นหน้าหนาว จึงมีหิมะขาวโพลน แทนที่ ก็สวยงามไปอีกแบบหนึ่งครับ
น้ําตกสูงที่สุด : สโคการ์ฟอสส์ คณะเรายังคงใช้ถนนวงแหวน (ROUTEI) มุ่งลง ใต้ต่อ เพื่อไปยังหมู่บ้านสโคคาร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของน้ำตกสโคการ์ฟอสส์ (SKOGAFOSS FALLS) เป็นน้ำตกสูงที่สุดในไอซ์แลนด์ โดยสูงถึง 60 เมตร และกว้างใหญ่เป็นอันดับที่ 5 เป็นน้ำตกที่ สวยงามที่แม่น้ำไหลตกลงมาจากหน้าผาทั้งแม่น้ำเป็นม่านน้ำพริ้วขาวลงมาสวยงามมากครับ เราไปถึงน้ำตกตอนบ่ายขณะยืนมองดูน้ำตกแสงอาทิตย์จะส่องจากด้านหลังของเราไปกระทบ ละอองน้ำตกมองเห็นเป็นรุ้งยิ่งเพิ่มความงามของน้ำตกเข้าไปอีก ส้าหรับท่านที่ชอบเทรคกิ้งส์ทาง อุทยานได้ท้าทางเดินข้างน้ำตกขึ้นไปถึงด้านบนมาด้วย
หาดทรายดํา REYNISFJARA รู้จักกันดีในชื่อว่า The Black Beach ที่ได้รับการ จัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในหาดทรายที่สวยที่สุดในโลก ทรายบนหาดมีลักษณะเป็นกรวดก้อนเล็ก ๆ ที่เกิดจากก้อนหินลาวาที่กัดกร่อนผุพังและถูกคลื่นซัดจนเป็นก้อนกรวดเล็กเกือบจะเป็นเม็ดทราย ที่มีสีดำอยู่เต็มชายหาด ด้านข้างเป็นภูเขาหินบะซอลท์ที่อัดตัวกันกลายเป็นเสาหินหกเหลี่ยม เรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ มองเห็นเป็นกำแพงเสาหินเป็นฉากขับให้หาดทรายดำดูเด่นสวยงาม ในทะเลไม่ห่างจากฝั่งมีเกาะหินรูปร่างแปลกสวยงานเรียงรายอยู่ รวมทั้งเกาะที่ด้านบนราบเรียบ หิมะเกาะขาวโพลนทั้งเกาะ ขณะที่เราไปถึงหาดทรายดำ มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมจ้านวนมาก คึกคักดีครับ
คืนที่สองและสามพัก HOTEL LAKI ไม่ไกลจากหาดทรายด้า มีเมืองขนาดย่อม ที่มีชอบปิ้งมอลค์และซุปเปอร์มาร์เก็ต มีโบสถ์สวยตั้งอยู่บนเนินเขา เมื่อขึ้นไปก็มองเห็นได้ทั้งเมือง และมองเห็นอีกด้านหนึ่งของภูเขาหินบะซอลท์ที่อยู่บริเวณหาดทรายดำด้วย คณะเราแวะซื้อของ และเติมน้ำมันรถแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังเมือง Kirkjubæjarklaustur เพื่อเข้าที่พักท่ี Hotel Laki ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองพอสมควร คณะเราจะพักที่ Hotel Laki น้ี 2 คืน
ออโรร่ามาหาถึงที่พัก Hotel Laki เป็นโรงแรมสไตล์รีสอร์ทที่อยู่กลางทุ่งหิมะ เพื่อนบ้านใกล้เคียงมีเพียง 2 – 3 หลังอยู่ห่าง ๆ เวลากลางคืนจึงมีแสงไฟรบกวนน้อยมาก คณะ เราทานอาหารค่ำท่ีโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ เมื่อใกล้อิ่มสัก 21.00 น. เศษ มดกับยุธ ซึ่งคอยเช็คดู แอปแสงเหนืออยู่ มาบอกว่าวันนี้มีสัญญาณแรงมาก และท้องฟ้าก็เปิดไม่มีเมฆหรือหิมะตก น่าจะเห็นแสงเหนือหรือออโรร่าได้ชัดเจน คณะเราจึงออกมาต้ังกล้องท่ีลานหน้าโรงแรมที่พัก เป็นจริงดังคาด ภาพแสงออโรร่าที่ได้มา จะเห็นเป็นแถบแสงสีเขียวเข้มชัดเจนมาก คณะเราทั้งสี่คน ต้องยืนนิ่ง ๆ จึงได้ภาพที่ถ่ายกับแสงเหนือที่สวยงามน้ี คืนนี้คณะเราจึงโชคดีท่ีไม่ต้องขับรถฝ่าความ มืดและความหนาวออกไปล่าแสงเหนือ แต่แสงเหนือมาหาคณะเราถึงที่พักเลย สุดยอดครับ
ทะเลสาบธารน้ําแข็งใหญ่ท่ีสุด : หลังอาหารเช้าท่ีโรงแรม เรามุ่งหน้าไปชม ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ท่ีสุดในไอซ์แลนด์ คือ โจกุลซาลอนกราเซียร์ ท่ีอยู่ระหว่างอุทยานแห่งชาติ สกาฟตาลเฟลและเมืองฮอฟน์ ธารน้ำแข็งโจกุลซาลอนน้ีเป็นส่วนปลายของธารน้ำแข็งพันปี วันทนาโจกุลที่จะไหลลงสู่ทะเล โดยเมื่อ 30 – 40 ปีก่อน น้ำแข็งก้อนใหญ่มหิมาค่อย ๆ แตกตัว เป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งท่ีกว้างขวาง น้ำแข็งที่แตกตัวออกเป็นรูปร่างแปลก ๆ ลอยออกทะเล และถูกคลื่นซัดข้ึนมาบนหาดทรายดำที่อยู่ข้าง ๆ ทะเลสาบธารน้ำแข็งนี้ ที่รู้จักกันในช่ือว่า ไดมอนด์บีช
บริเวณจุดชมวิว จะมีรถซุปเปอร์จิ๊ปที่จะน้านักเที่ยวไปชมถ้ำน้ำแข็งคริสตัล ค่าบริการท่ีรวมค่าเข้าชมถ้ำน้ำแข็งสูงหน่อย ประมาณ 180 ยูโรครับ
อุทยาน (น้ําแข็ง) แห่งชาติ : วัทนาโจกุล ในช่วงบ่ายเราแวะชมอุทยานแห่งชาติ วัทนาโจกุล ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติท่ีใหญ่ท่ีสุดของไอซ์แลนด์ เพราะบริเวณของอุทยานนี้ได้รวบ ทุ่งหิมะและธารน้ำแข็งพันปีวัทนาโจกุลไว้ด้วย เฉพาะธารน้ำแข็งพันปีวัทนาโจกุลน้ีกลับยาวมาก ดังเห็นได้จากทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอนที่เป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งใหญ่ท่ีสุดนั้นก็เป็นเพียง ส่วนปลายธารน้ำแข็งพันปีวัทนาโจกุลน้ี นอกจากนี้ยอดเขาสูงท่ีสุดในไอซ์แลนด์ก็อยู่ในเขตอุทยาท แห่งชาติวัทนาโจกุลน้ีด้วย คณะเรากลับถึงท่ีพักพลบค่ำแล้ว เช็คสัญญาณแสงเหนืออ่อนมาก และท้องฟ้าปิดมีหิมะลง จึงไม่ได้ชมแสงเหนือในคืนที่สามนี้
น้ําพุร้อน Geysir เช้าวันรุ่งขึ้นคณะเรามูฟออกจาก Hotel Laki มุ่งหน้าไปสถานที่ ท่องเที่ยวที่มีผู้ไปเที่ยวชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ คือ น้ำพุร้อน Geysir ที่เกิดจากน้ำร้อน ใต้พื้นผิวของโลกที่ได้รับความร้อนจากลาวาภูเขาไฟที่มีอยู่มากในไอซ์แลนด์ โดยบริเวร Geysir นี้ น้ำร้อนที่มีอุณหภูมิสูงถึง 100oc รวมตัวกันอยู่ใต้พื้นหิน เมื่อรวมตัวกันมากขึ้นก็จะเกิดเป็นไอน้ำ ที่หาทางพุ่งทะลุรอยแตกของหินออกมา เป็นลำน้ำร้อนที่สูงถึงประมาณ 180 ฟุตในทุก ๆ 7 -10 นาที หลุมน้ำพุร้อนที่พุ่งออกมานี้มีหลายหลุม แต่ละหลุมจะพุ่งออกมาในเวลาที่ต่างกัน ผู้เข้าเยี่ยมชมจึงต้องคอยจับจ้องดูว่าหลุมไหนจะมีน้ำร้อน (เดือด) พุ่งออกมาให้ดี โดยทางอุทยาน แห่งชาติที่ดูแล Gerysir นี้ จะกั้นบริเวณที่น้ำพุร้อนอาจสาดมาถึงไม่ให้ผู้เที่ยวชมเข้าไปเพราะอาจ เกิดอันตรายได้ เช้าวันที่คณะเราไปถึง Gerysir มีหิมะตกลงมาค่อนข้างหนา จึงทำให้การชมน้ำพุ ร้อนของเราได้บรรยายกาศสนุกสนาน ถ่ายภาพออกมากับน้ำพุร้อน สวยงามมากครับ
น้ําตกทองคำ Gullfoss ไม่ไกลจากน้ำพุร้อน Gerysir มากนัก จะมีน้ำตกที่งดงาม มีชื่อเสียงของไอซ์แลนด์ คือ น้ำตก Gullfoss ที่แปลว่าทองคำ น้ำตกนี้ได้รับสมญาว่าเป็นไนแอการ่าแห่งไอซ์แลนด์ เพราะเป็นน้ำตกที่เกิดจากแม่น้ำที่มาจากการละลายของธารน้ำแข็งทั้งแม่น้ำไหล ตกลงไปในหน้าผาโบราณที่มีความสูงถึง 32 เมตร องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนน้ำตกแห่งนี้ให้ เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย
แสงเหนือพากันมาถึงที่พัก คืนที่ 4 นี้เราเดินทางไปยังเมือง Grund เพื่อเข้าพัก ในโรงแรม Hotel Guesthouse Fludios หลังอาคารค่ำที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ เราก็เข้าห้องพัก เพราะเหนื่อย เนื่องจากวันนี้เดินทางค่อนข้างไกล
ตกดึก ยุธมาเคาะเรียกให้ออกไปดูแสงเหนือกัน จึงรีบคว้าเสื้อโค้ทมาสวมทับชุด นอนออกมา ก็พบว่ามดตั้งกล้องรอเอาไว้แล้วอยู่ที่ข้างห้องพักของเราเลย และบอกว่าท้องฟ้าเปิด และสัญญาณแรงมาก เมื่อดูจากกล้องก็จะเห็นแสงเหนือเป็นริ้วเป็นแถบแสงเป็นรูปร่างต่าง ๆ สวยงามมากและแสงเข้มชัดมากกว่าคืนที่สองเสียอีก คณะเรารีบถ่ายภาพกันเป็นที่ระลึกแล้วก็รีบ เข้าห้องพัก เพราะอากาศหนาวมาก
วงกลมทองคำ เช้ารุ่งขึ้น คณะเราใช้ถนนหลักของไอซ์แลนด์ คือ ROUTEI มุ่งหน้า ย้อนเข้ามากรุงเรคยาวิก เพื่อแวะวงกลมทองคำ (Golden Circle) เพื่อเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติ ธิงเวลลีย์ รัฐสภาแห่งแรก และรอยแยกของโลก
อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์ เป็นอุทยานแห่งชาติฤดูหนาวที่มีธรรมชาติสวยงามมาก จนองค์การยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม
รัฐสภาแห่งแรก ในบริเวณอุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์ มีพื้นที่ที่ชาวไอซ์แลนด์มา ชุมนุมกันออกเสียงในการเลือกผู้นำหรือการบริหารประเทศ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 930 จึงได้ชื่อว่าเป็น รัฐสภาแห่งแรก
รอยแยกของโลก รอยแยกของโลก เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1784 เป็นรอยแยกที่ลึกลงไปในพื้นโลกถึงสืบกว่าเมตรมีน้ำท่วมขังตลอด ทางอุทยานแห่งชาติจะอนุญาต ให้เฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์และอุปกรณ์ดำน้ำที่ทันสมัยปลอดภัยเท่านั้น ที่จะมาขอดำน้ำในบริเวณ รอยแยกของโลกนี้ โดยต้องขออนุญาตล่วงหน้ามาก่อนทางออนไลน์
วัดไทยในไอซ์แลนด์ ช่วงบ่ายหลังจากแวะเข้าไปหาซื้อของที่ระลึกในเรคยาวิก คณะเราก็เดินทางไปเยี่ยมวัดไทยในไอซ์แลนด์ มีลักษณะเป็นบ้านที่ดัดแปลงมาเป็นสำนักสงฆ์ อยู่ชานกรุงเรคยาวิก เพื่อเผยแพร่พุทธศาสนาและบรรยายธรรมให้แก่คนไทยในไอซ์แลนด์และ ผู้ที่สนใจ
คืนสุดท้ายหิมะตกหนัก ส้าหรับคืนที่ 5 เป็นคืนสุดท้ายของคณะเราในไอซ์แลนด์ ได้จองโรงแรม Dures ที่อยุ่เคฟลาวิต เพราะตอนเย็นของวันรุ่งขึ้นเราจะต้องขึ้นเครื่องกลับมาฟิน เลนด์ หลังออกจากวัดไทยหิมะเริ่มตก และตกมากขึ้นเมื่อใกล้ถึงโรงแรม และตกไปตลอดคืนจนถึง เช้าก็ยังตกอยู่
บลูลากูน เช้านี้เรามีโปรแรมที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์ก็ได้ คือ จะไปแช่น้ำอุ่นกันที่ “บลูลากูน” แต่เป็นเพราะหิมะที่ตกหนักติดต่อมาถึงเช้า ทำให้การเดินทางไปบลูลากูนของคณะ เราเสียเวลาเพราะหลงทางไปพอสมควร
“บลูลากูน” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพระดับโลก และโด่งดังที่สุดของ ไอซ์แลนด์ นักท่องเที่ยวนิยมไปลงสระแช่น้ำอุ่นที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย เช่น ซิลิกา สาหร่ายทะเล ฟลูออรีน โซเดียม โปรแตสเซียม แคลเซียม ซัลเฟต คลอรีน ฯลฯ ที่สำคัญคือ โคลน ที่เกิดจากหินภูเขาไฟ ที่ผลการวิจัยบอกว่าเป็นผลดีกับสุขภาพ
ทางเดินเข้าบลูลากูนสร้างลดเลี้ยวไประหว่างกองทินพรุนสีด้าที่เกิดจากลาวาเย็น ตัวลง ในอาคารที่ทำการเมื่อผ่านการลงทะเบียนแล้ว นักนิยมน้ำอุ่นจะแยกไปเข้าลอกเกอร์ ซึ่งแยกเป็นของชายและหญิง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำซึ่งเราต้องเตรียมไปแล้ว ก็จะไปลง สระใหญ่รวมกันโดยไม่แยกเพศ สระที่อยู่กลางแจ้งมีขนาดใหญ่มาก น้ำในสระปรับอุณหภูมิให้อุ่น พอดีไม่ร้อนจัดมาก พื้นสระไม่ลึกมากพอเดินหยั่งถึง บริเวณกลางสระจะมีซุ้มจ่ายเครื่องดื่มและ ครีมพอกหน้าที่สกัดมาจากสาหร่ายทะเล โคลนภูเขาไฟและเกลือแร่ต่าง ๆ
ขณะที่คณะเราลงแช่น้ำอุ่นอยู่นั้น หิมะก็ยังคงตกโปรยปรายลงมาค่อนข้างมาก ท้าให้คณะของเราเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานได้ภาพสวย กับอากัปกริยาแปลก ๆ จากกล้องมือถือที่ ผู้เขียนเอาใส่ถุงกันน้ำติดลงไปด้วย สรุปแล้วคณะสี่เทพของเราลงมติกันว่า “สมหวังแล้วครับ”
คืนที่ 6 : พักแถวสนามบินเฮลซิงกิ คณะเราบินออกจากเคฟลาวิกในตอนค่ำ จึงมาถึงสนามบินเฮลซิงกิค่อนข้างดึก ก็ตรงไปเข้าพักโรงแรมแถวข้างสนามบินชื่อ Pittoli Hotel ที่จองมาล่วงหน้า เพื่อจะได้เข้าไปเที่ยวชมกรุงเฮลซิงกิกันในตอนเช้า
เที่ยวชมเฮลซิงกิ กรุงเฮลซิงกิก็เป็นเมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์ มีประชากร ในอาณาบริเวณประมาณ 1.2 ล้านคน อาณาจักรรัสเซียได้เคยมาปกครองฟินแลนด์อยู่ช่วงระยะ เวลาหนึ่ง
คณะของเราได้เข้าไปเที่ยวชมเฮลซิงกิ โดยเริ่มต้นจากอนุสาวรีย์ Sebelius ที่มีรูปร่างคล้ายท่อลมในเครื่องเล่นออร์แกนใหญ่ ไปเยี่ยมชมโบสถ์หิน Rock Church ที่สร้างโดย การเจาะลงไปในพื้นหิน ไป Senate Square และ Market Square ชมวิหารเฮลซิงกิหรือ Helsinki Cathedral ปิดท้ายด้วยโบสถ์รัสเซียหรือ Uspenski Cathedral ซึ่งสวยงามตามแบบ ฉบับของโบสถ์คริสต์นิกายรัสเซียออร์โธด็อกซ์
จากนั้นคณะเราไปเดินย่านชอปปิ้งสตรีทของเฮลซิงกิ และทานอาหารก่อนที่จะมา สนามบินเพื่อรอบินกลับกรุงเทพ
กลับบ้าน : มาตรการ Covid-19 คณะเราเดินทางไปไอซ์แลนด์เมื่อปลายเดือน มกราคม 2563 ที่พึ่งเริ่มจะมีข่าว Covid-19 ระบาดในจีน เรากลับมาถึงกรุงเทพวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งสถานการณ์ Coivd-19 รุนแรงมากขึ้น และเริ่มมีผลกระทบกับประเทศไทย
ผู้เขียน เขียนต้นฉบับเที่ยวแบบแปลก (2) นี้เสร็จเมื่อต้นเดือนเมษายน 2563 ซึ่ง เป็นช่วงที่รัฐประกาศใช้มาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ฉะนั้น ผู้เขียนจึงขอภาวนา อธิษฐานขอให้ท่านผู้อ่าน ประชาชนคนไทยและทั่วโลกให้ปลอดภัย ห่างจากวิกฤติ Covid-19 ใน เร็ววันนะครับ